top of page

to 1862



topic : ฉันในมิติอื่น

note : almost little women au


enjoy reading :-)






to 1862







June, 2021


เจนน่าผุดลุกขึ้นจากเตียง บิดลำตัวเพื่อคลายความเมื่อยล้าจากการหลับใหลราวแปดชั่วโมงนี้ เธอมองไปนอกหน้าต่าง แสงแดดสอดส่องผ่านผ้าม่านโปร่งแสงสีขาวพร้อมกลิ่นไอแดดเป็นจดหมายจากธรรมชาติที่ส่งข่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล



และแล้วฤดูร้อนก็มาเยือน เธอคิดในใจอย่างสุขสันต์



เครื่องทำความร้อนในห้องไม่จำเป็นอีกต่อไปเมื่อในบัดนี้มีแสงแดดคอยเพิ่มความอบอุ่น เจนน่าลอบยิ้มในใจ ภาวนาให้หน้าร้อนนี้คงอยู่ในบอสตันจวบจนช่วงเปลี่ยนผ่านฤดู ร่างผอมบางเลือกสวมเสื้อผ้าเนื้อนิ่ม ระบายอากาศได้ดีเพื่อต้อนรับแสงแรกของฤดูร้อน



“...”



เธอสบตาตนเองผ่านภาพสะท้อนในกระจกเงา ทันใดนั้นบางอย่างก็ประเดประดังเข้าในห้วงความคิดพร้อมความรู้สึกปวดศีรษะอย่างเฉียบพลัน เจนน่าหน้ามืด เธอเอนตัวนั่งลงพื้นอย่างช้า ๆ ขณะนั้นจึงเกิดภาพเหตุการณ์ขึ้นมาในหัว



กลิ่นไอแดด สายลมเย็นกระทบใบหน้า


เสียงคลื่นทะเล–ล้อเลื่อนของรถม้าที่บดไปตามพื้นถนน


บทสนทนาของชายหนุ่มและหญิงสาว


รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ


ความสุข



แม้จะเลือนรางแต่เจนน่ามั่นใจว่านี่คือภาพความฝันเมื่อคืนนี้ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกมาเนิบช้า หวังจะทุเลาความปวดลงไปได้บ้าง


เจนน่ามึนงงไปชั่วขณะหนึ่ง เธอนึกแปลกใจว่าถ้าหากมันเป็นเพียงฝัน เหตุใดจึงสมจริงราวอยู่ในเหตุการณ์นั้น


เธอส่ายหัวให้ความคิดของตัวเองก่อนตัดสินใจลุกออกจากห้องไป





ร้านกาแฟใจกลางบอสตันครึกครื้นไปด้วยผู้คนจำนวนหนึ่งที่ต่างออกจากบ้านมาเพื่อต้อนรับฤดูร้อนในวันนี้ เจนน่ารับเครื่องดื่มปั่นจากพนักงานสาวโดยไม่ลืมกล่าวคำขอบคุณ เธอตัดสินใจนั่งลงบนเก้าอี้ภายนอกตัวร้าน การเริ่มอ่านหนังสือเรื่องใหม่เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับบ่ายวันนี้



เจนน่า มาร์ช เกิดและโตที่นี่ บอสตันในสายตาเธอไม่ต่างอะไรไปจากครั้นเยาว์วัยเสียเท่าไร สวยงาม สงบแต่ไม่เงียบเหงา สมกับเป็นเมืองท่าขนาดใหญ่ อันที่จริงหากนับย้อนไปสองศตวรรษ บรรพบุรุษมาร์ชของเธอเริ่มต้นใช้ชีวิตและอาศัยอยู่ที่คองคอร์ด เมืองเล็กใกล้ ๆ บอสตันนี้ ก่อนคุณทวดของเธอจะตัดสินใจย้ายถิ่นฐานมาสู่ความเจริญแบบบอสตันในที่สุด ครั้นยังเด็กเจนน่าอาศัยอยู่กับครอบครัว ก่อนจะปลีกตัวมาอยู่ลำพังหลังเข้าสู่วัยทำงาน



“...”



หนังสือหน้าสุดท้ายปิดฉากเรื่องราวได้อย่างสมบูรณ์ เป็นเวลากว่าสี่ชั่วโมงแล้วที่เธอนั่งอยู่ที่เดิม เจนน่าผ่อนลมหายใจก่อนปิดหน้าหนังสือลงอย่างทะนุถนอม



มื้อค่ำผ่านไปอย่างเรียบง่ายดังเช่นทุกวัน เจนน่านั่งลงหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อสะสางงานที่คั่งค้างสำหรับวันนี้ให้เสร็จสิ้น เธอทำงานเกี่ยวกับหนังสือและสื่อสิ่งพิมพ์ที่วางขายทั่วนิวอิงแลนด์ กลิ่นอ่อน ๆ ของเทียนหอมที่เธอจุดไว้บนโต๊ะทำงานส่งกลิ่นอบอวลไปทั่วห้องพักขนาดเล็ก มันช่วยให้เธอผ่อนคลายและทำงานได้ลื่นไหล ทว่าในวันนี้เธอกลับง่วงนอนอย่างพิกล



แววตาใสเหลือบมองนาฬิกาบนจอคอมพิวเตอร์ เป็นเวลาเพียงสี่ทุ่มนิด ๆ เท่านั้น โดยปกติเจนน่ามักจะง่วงนอนและผล็อยหลับไปในช่วงตีสองของอีกวัน แต่อาจเป็นเพราะแสงแดดในวันแรกของฤดูร้อนจึงทำให้อ่อนเพลียมากกว่าปกติ เธอคิดในใจ



ไม่นานนักหญิงสาวก็ต้านทานความง่วงไม่ไหว เธอดับเทียน ปิดคอมพิวเตอร์ ปิดไฟจนมืดสนิททั่วห้อง จากนั้นจึงทิ้งตัวลงนอน ไม่ทันไรเธอก็หลับไปในที่สุด




เธอตื่นขึ้นอีกครั้ง


ความรู้สึกนี้อีกแล้ว




กลิ่นไอแดด สายลมเย็นกระทบใบหน้า


เสียงคลื่นทะเล–ล้อเลื่อนของรถม้าที่บดไปตามพื้นถนน


รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ


ความสุข


และ




“เฮ้ เจโนฟีน ตื่นเร็ว”



เจนน่าตื่นขึ้นทันใด เธอหยีตาสู้แสงสว่างที่กระทบเปลือกตา



เดี๋ยว...แสงสว่างอย่างนั้นหรือ



“หมดเวลานอนของเธอแล้วเจน ขนมปังกระเทียมสำหรับมื้อบ่ายรอเธออยู่”



นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย



“เอ่อ ขอโทษนะ”



เจนน่าลุกขึ้นนั่ง รอบตัวเธอคือชายหาดกว้างที่มีเม็ดทรายสีขาวละเอียด เจนน่าสำรวจตัวเองอย่างรวดเร็วก่อนจะพบว่าเธออยู่ในเสื้อเชิ้ตขาวที่สวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีดำ พร้อมกระโปรงสีน้ำตาลยาวเลยเข่า–ดูเชยไม่หยอก เจนน่าเหลือบมองไปยังชายแปลกหน้าข้างกายเธอ เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุไม่เกินสิบแปด หรืออาจน้อยกว่านั้น เขามีดวงตากลมใส ใบหน้าหล่อเหลา เส้นผมดำสนิทเรียบตรง ชายผู้นี้ยังคงยิ้มและมองมายังเธอ



“เป็นอะไรไปเจโนฟีน หรือยังไม่ตื่นกันน่ะ”


“ขอโทษนะ ใครคือเจโนฟีนอย่างนั้นหรอ” เธอถาม


“อย่าบอกนะว่าหลับลึกจนจำตัวเองไม่ได้น่ะ เธอไงเจน...เจโนฟีน มาร์ช


“..!!”



เจนน่านิ่งงันต่อสิ่งที่ตนได้ยินไปชั่วขณะ เจโนฟีน มาร์ช อย่างนั้นหรือ เธอคิด นี่อาจเป็นความฝัน ใช่ ต้องเป็นความฝันแน่ ๆ...



“นายชื่ออะไรนะ” เธอถามอีกฝ่ายอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ


“ฉันเอง แมค แมคมิลเลน ลอว์เรนซ์...เธอเป็นอะไรไปนะวันนี้”


“ขอโทษที ฉันกำลังงงมาก ๆ...ที่นี่ที่ไหนน่ะ”


“เธอคงจะลืมบ้านเกิดตัวเองไปเสียสนิทแล้วสินะตอนนี้ ที่นี่คองคอร์ด เธอกับฉันเกิดและโตที่นี่ สงสัยอะไรอีกไหมคุณมาร์ช”


“...ปีนี้ปีที่เท่าไหร่น่ะ”


“หนึ่งพันแปดร้อยหกสิบสอง...ถามเหมือนไม่ใช่เจนผู้รอบรู้เลยนะ แปลกชะมัด”




เจโนฟีน มาร์ช คองคอร์ดในปีพันแปดร้อยหกสิบสอง



เจนน่าไม่ใช่คนโง่ เธอเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดนี้ได้ ถ้าหากเธอไม่ได้ฝันเฟื่องไปก็คงเป็นการท่องอดีตในความฝัน


“สวมบทเป็นบรรพบุรุษตัวเองเนี่ยนะ” เธอพึมพำกับตัวเอง แมคมิลเลนที่นั่งข้าง ๆ กำลังแบ่งขนมปังชิ้นโตออกเป็นสอง มือหนาจับมีดแล้วปาดเนยลงไปอย่างตั้งใจ เขายื่นมาให้เธอ “กินซะ เผื่อจะลืมว่านี่ของโปรด”


“ขอบใจ” เจนน่ารับมาก่อนกัดเข้าปาก เนยรสชาติดี เธอคิด พลางนึกสงสัยว่าเจโนฟีนเป็นใคร นอกจากจะเกี่ยวพันกันทางสายเลือดแล้วยังชื่อคล้ายเธออย่างพิลึก


“นาย...เอ่อ แมค”


“ว่ายังไง”


“พาฉันกลับบ้านได้ไหม”






เจนน่าไม่เคยคิดไม่เคยฝันมาก่อนว่าจะได้เห็นบ้านเกิดที่อยู่อาศัยของบรรพบุรุษกับตาตัวเอง แม้นี่จะเป็นความฝันที่แสนจะสมจริงก็ตาม เธอในร่างเจโนฟีนเดินสำรวจทั่วบ้านหลังเล็ก คองคอร์ดในฤดูร้อนน่าอยู่ไม่หยอก อาจเพราะนี่เป็นอดีตที่ยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติ เจนน่านึกชอบใจ


เจโนฟีนอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กนี้พร้อมกับมารดาและน้องสาวหนึ่งคน ส่วนบิดากำลังอยู่ในกองทัพสำหรับสงครามกลางเมืองในขณะนี้ เธอพอจะรู้มาบ้างว่าบ้านมาร์ชในคองคอร์ดมิได้มีฐานะร่ำรวยเหมือนปลายสายตระกูลมาร์ชที่ย้ายถิ่นไปยังบอสตันเช่นตัวเธอในปัจจุบัน


ส่วนนายคนนั้นที่อ้างตนว่าเป็นเพื่อนรักของเจโนฟีน–แมคมิลเลน ลอว์เรนซ์ อาศัยอยู่ ณ คฤหาสน์ลอว์เรนซ์อันโอ่อ่าตรงข้ามบ้านหลังเล็กของเจโนฟีน แมคมิลเลนร่ำรวย เปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์ ส่วนเจโนฟีนแม้ฐานะจะเทียบเท่าเพื่อนคนนี้มิได้ทว่าทั้งสองกลับเข้ากันได้ดีอย่างน่าประหลาด เจนน่าเองก็คิดเช่นนั้น


เจโนฟีนเป็นเด็กฉลาด เป็นเจนผู้รอบรู้ดังที่แมคมิลเลนเคยกล่าวไว้ เจนน่าพอจะเดาออกว่างานอดิเรกของเธอคนนี้คงไม่ต่างอะไรไปจากตัวเองมากนัก เพราะทุกมุมของห้องนอนเต็มไปด้วยหนังสือ นอกจากนี้เธอยังค้นเจอสมุดบันทึกที่เจโนฟีนมีไว้เพื่อเขียนแต่งเรื่องรวมถึงบันทึกชีวิตประจำวันอีกด้วย

จะเหมือนฉันเกินไปแล้วนะเจโนฟีน เธอคิด



มื้อค่ำสำหรับบ้านมาร์ชเป็นไปอย่างเรียบง่ายและอิ่มท้อง บทสนทนาบนโต๊ะอาหารเริ่มต้นที่เรื่องราวชีวิตประจำวันในโรงเรียนศิลปะของน้องสาวอย่างเจนิเฟอร์ ก่อนจะจบลงที่การอ่านโทรเลขประจำสัปดาห์จากมิสเตอร์มาร์ชที่ส่งตรงจากกองทัพ จะว่าไป เจนน่าเริ่มจะชอบเรื่องราวในฝันของตัวเองเสียแล้วสิ


หน้าต่างห้องนอนของเจโนฟีนหันไปทางคฤหาสน์ลอว์เรนซ์อย่างพอดิบพอดี เจนน่ามองลอดออกไป สบตาเข้ากับแมคมิลเลนที่มองมาทางนี้ก่อนอยู่แล้ว ทั้งสองยิ้มให้กันเบา ๆ คุณชายลอว์เรนซ์โบกมือให้เธอก่อนจะปิดม่าน เป็นการบอกลากันในวันนี้อย่างสมบูรณ์


เจนน่าเอนตัวลงบนเตียงนอนของเจโนฟีน เธอคิดได้ว่าถ้าหากปิดตาลง หลับใหลไป พรุ่งนี้เช้าเธอจะตื่นขึ้นมาที่ห้องนอนตัวเอง ตื่นจากฝันเฟื่องนี่ และกลับไปใช้ชีวิตเป็นเจนน่า มาร์ช ต่อไป




และแล้วก็เป็นเช้าวันถัดมา


เจนน่าลืมตาขึ้นอย่างระแวง เมื่อตื่นเต็มตาเธอจึงโล่งใจเมื่อเพดานห้องนอนอันคุ้นเคยปรากฏแก่สายตา เธอผุดลุกขึ้นแล้วกวาดสายตาไปรอบ ๆ ใช่ เธอกลับมาแล้ว เจนน่ายักไหล่อย่างไม่ยี่หระ



“มันก็แค่ฝัน”






แค่ฝันก็บ้าแล้ว



เพราะในคืนนั้นเมื่อเธอหลับตาลงนอน ไม่ทันไรเธอก็กลับมายังปี 1862 อีกครั้ง


“นี่มันบ้าอะไรกัน” ร่างบางนอนฟึดฟัดอยู่บนเตียงเดิมของเจโนฟีน เธอปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างเสียเปล่า เช้าวันนี้ทุกสิ่งดูเงียบสงัด มีเพียงเสียงรถม้าขับผ่านเป็นระยะเท่านั้น


“ได้เลยเจโนฟีน ถ้าเธอต้องการแบบนี้น่ะนะ” เจนน่าตัดสินใจบางอย่างได้ทันที เธอเอื้อมมือคว้าสมุดบันทึกของเจโนฟีนพร้อมดินสอที่วางอยู่ข้างหัวเตียงมาไว้ในมือ เปิดสมุดไปยังหน้าว่าง จรดปลายดินสอลงไป





ถึงเจโนฟีน


นี่คือฉันเอง เจนน่า มาร์ช ญาติห่าง ๆ ของเธอในอีกสองร้อยปีข้างหน้า ขออนุญาตถือวิสาสะใช้สมุดของเธอก็แล้วกันนะ ไม่รู้ว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้นกับชีวิตของเราทั้งคู่ กลายเป็นว่าฉันอยู่ในร่างเธอเป็นวันที่สองแล้ว แม้จะในความฝันก็ตาม ถ้าเธอเห็นหรือได้อ่านมันแล้วล่ะก็ ช่วยพาฉันออกจากความฝันนี่ที ขอบคุณจากใจ


เจนน่า มาร์ช












to be continue





Comments


bottom of page