top of page

บ้านขนมรสเลือด | happy halloween 2021





บ้านขนมรสเลือด







นี่คือเรื่องเล่าว่าฉันเอาชีวิตรอดจากบ้านนรกหลังนั้นได้อย่างไร




ฉันเกิดและโตในกระท่อมซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขา พ่อแม่ของฉันเป็นคนขายขนมปัง ฉันเป็นพี่สาวคนโตของบ้าน มีน้องสาวตัวเล็กหนึ่งคน ครอบครัวเราอบขนมปังขายเพื่อเลี้ยงปากท้องทั้งสี่


แม้กระท่อมของเราจะอยู่ไกลจากหมู่บ้านแต่มันไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการขายแต่อย่างใด พ่อและแม่จะตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อเตรียมวัตถุดิบ นวดแป้งขนมปัง และเอาเข้าอบในเตาถ่านหลังใหญ่ กลิ่นกรุ่นของขนมปังอบเป็นเสมือนนาฬิกาปลุกของฉันกับน้องสาว เมื่อพ่อตัดขนมปังเป็นชิ้นตามการแบ่งขายได้ครบแล้วก็เป็นหน้าที่ของฉันและน้องสาวที่จะต้องนำมันใส่ตะกร้าไปขายในหมู่บ้านซึ่งอยู่ห่างจากตีนเขาไปไม่ไกล



ฉันกับน้องสาวจะต้องมาถึงยังหมู่บ้านให้ทันช่วงเจ็ดโมงตรงของทุกวัน เป็นโชคดีของเราที่ลูกค้าหลายคนยังคงแวะเวียนมาอุดหนุนเป็นประจำสม่ำเสมอ ทำให้ขนมปังของบ้านฉันขายหมดทุกวันและไม่จำเป็นต้องหิ้วกลับบ้านให้เหนื่อยเปล่า เพราะสิ่งที่พ่อและแม่อนุญาตให้นำกลับไปด้วยมีเพียงเงินในถุงเท่านั้น


“ขอบคุณค่ะ รับประทานให้อร่อยนะคะ” น้องสาวของฉันพูดเจื้อยแจ้วขณะรับเหรียญแล้วหย่อนใส่ถุงเงินที่เริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ


“วันนี้จะลงมาอีกไหมล่ะหนู” เป็นคุณลุงพ่อค้าไม้ที่เอ่ยถาม เขาชื่นชอบขนมปังหน้าลูกเกดและอุดหนุนฉันเป็นประจำ


“ช่วงหลังเที่ยงหนูจะลงมาอีกค่ะ” ฉันตอบพลางส่งขนมปังชิ้นโปรดให้คุณลุง


“ลุงจะรอนะ...ว่าแต่ไม่ลองเข้าไปขายในป่าดูบ้างล่ะ”


“ในป่างั้นหรือคะ” ฉันถาม


“ในป่าน่ะมีบ้านอีกหลายหลัง ถ้าหนูทั้งสองไปขายก็อาจได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นนะ” ข้อเสนอนี้น่าสนใจ ฉันจึงเอ่ยขอบคุณคุณลุงแล้วบอกว่าพรุ่งนี้จะลองดู



เพราะช่วงนี้อากาศเริ่มต่ำลงและลมพัดแรงกว่าช่วงที่ผ่านมาเราจึงต้องสวมใส่เสื้อผ้าให้อบอุ่นมากขึ้นกว่าเดิม น้องสาวของฉันเป็นพวกภูมิต้านทานต่ำและเป็นหวัดบ่อย ฉันจึงต้องสละเสื้อคลุมบางตัวที่ฉันเคยใส่ครั้งเป็นเด็กให้น้องสาว หนึ่งในนั้นคือเสื้อพร้อมหมวกคลุมศีรษะสีขาวสะอาดที่น้องสาวฉันสวมอยู่ในขณะนี้

“เสื้อจะหลุดแล้ว ถ้าถึงตีนเขาเมื่อไรเธอต้องกระชับมันให้แน่นล่ะ พี่จะถือตะกร้าของเธอให้เอง” ฉันย่อตัวลงแล้วจับเสื้อคลุมตัวจิ๋วให้กระชับเข้าตัวน้องสาว หยิบเอาส่วนหมวกขึ้นคลุมให้จนแทบจะบดบังใบหน้าจิ้มลิ้มของเด็กน้อยที่พยักขึ้นลงรับคำ


เมื่อกลับถึงบ้านเราต่างรีบอบอุ่นร่างกาย มื้อเช้าของวันจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกเสียจากขนมปังอบฝีมือแม่ อันที่จริงมันค่อนข้างน่าเบื่อ แต่ชีวิตเราสี่คนไม่ได้มีตัวเลือกมากขนาดนั้นหรอก “คุณลุงคนขายไม้บอกว่าให้หนูลองเอาขนมปังไปขายในป่า”

“หนูอยากไปเดินป่า” น้องสาวตัวเล็กของฉันพูดเจื้อยแจ้ว


“หนูคิดว่าก็น่าจะดีนะคะ เราอาจได้เงินเพิ่มขึ้น ในอนาคตคนในหมู่บ้านอาจจะเบื่อขนมปังร้านเรา” ฉันพูดเสริมพลางจุ่มขนมปังก้อนลงไปในซุปผักเปื่อย ๆ


“แต่ลูกยังไม่เคยลองเข้าป่าไปขายเลยนะ มันจะปลอดภัยหรือเปล่า” เป็นพ่อที่ท้วงขึ้นมา ถูกของพ่อ ฉันยังไม่เคยเดินเฉียดเข้าไปในป่านั่นด้วยซ้ำ


“แต่ฟังดูแล้วมันไม่ได้น่ากลัวอะไรนะคะ เหมือนว่าจะมีบ้านอีกหลายหลังเลยที่อยู่ในป่า อาจเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ด้วยซ้ำ หนูจะพกอุปกรณ์ป้องกันตัวไปด้วยแล้วกันค่ะ”


“ถ้าอย่างนั้นตามใจลูกแล้วกัน เดี๋ยวช่วงเที่ยงแม่จะอบขนมปังเพิ่มส่วนหนึ่ง ยักไว้เผื่อขายในป่าด้วยล่ะ” อบเพิ่มส่วนหนึ่งของแม่หมายถึงหนึ่งตะกร้าใหญ่ที่แทบจะหนักเท่าปริมาณปกติที่ขายในหนึ่งรอบ ฉันกับน้องสาวลงมาถึงหมู่บ้านในช่วงเกือบบ่ายโมงตรงพอดี ผู้คนคลาคล่ำเต็มเส้นถนนหลักในหมู่บ้าน บ้างก็จับกลุ่มยืนคุยกัน บ้างก็เดินจับจ่ายใช้สอยตามร้านรวง


แต่ฉันรู้ดีว่ารอบบ่ายจะขายได้ไม่คล่องเท่ารอบเช้า เรานั่งแช่อยู่ที่เดิมราวสามชั่วโมงกว่าขนมปังส่วนแรกจะขายหมด


“อย่าเพิ่งเหนื่อยนะ เรายังต้องเข้าไปในป่าอีก” น้องสาวฉันเริ่มซึมกะทือเข้าไปทุกที ฉันจึงหยิบขนมปังไส้คัสตาร์ดของโปรดเธอในตะกร้าขึ้นมาแล้วส่งให้ “กินเสียสิ เติมพลังก่อนไปเดินป่า”


“แล้วพี่ไม่กินหรือ”


“ไม่ล่ะ พี่ไม่หิวเท่าไร”


ทันทีที่ขนมปังก้อนนั้นหมดเราทั้งสองจึงมุ่งหน้าไปยังป่า ในกระเป๋าสะพายของฉันมีทั้งมีดสั้นสองเล่ม ไฟฉาย ไม้ขีดไฟ และอุปกรณ์ปฐมพยาบาลจำนวนหนึ่ง ขึ้นชื่อว่าป่าก็ไม่มีอะไรน่าไว้ใจนักหรอก ฉันเดินไปตามทางที่ป้ายเขียนบอกไว้ ‘หมู่บ้านกลางป่า’ ช่างเป็นชื่อที่สิ้นคิดดีแท้



เมื่อพ้นเขตหมู่บ้านแล้วทุกสิ่งกลับเงียบสงัดพิกล ตามทางเดินได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าสองคู่และเสียงใบไม้หวีดเพราะลมพัด ฉันจับกระชับมือน้องสาวไว้แน่นแล้วสาวเท้าเดินต่อ ยังไม่เห็นร่องรอยของบ้านสักหลัง แถมทางเดินก็ดูไม่เหมือนทางที่ใช้เดิน มันเหมือนว่าป่าแห่งนี้ ไม่มีอะไรเลย



ยิ่งเดินลึกเข้าไปต้นไม้ยิ่งเยอะขึ้น เยอะขึ้น ฉันตัดสินใจล้วงหยิบมีดสั้นทั้งสองเล่มในกระเป๋าสะพายขึ้นมาแล้วส่งให้น้องสาวเล่มหนึ่ง “พี่ว่าเราทำสัญลักษณ์ทิ้งไว้บนต้นไม้ดีกว่า ขากลับจะได้ไม่หลง” น้องสาวที่น่ารักของฉันเชื่อฟังเป็นอย่างดี เธอเป็นจิตรกรตัวน้อยที่ชื่นชอบศิลปะ ผิวต้นไม้ที่เราเดินผ่านจึงเต็มไปด้วยรอยแกะรูปดาว รูปหัวใจ สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม และวงกลม



ฉับพลัน จมูกของฉันก็ได้กลิ่นอะไรบางอย่าง



มันเป็นกลิ่นหอมแสนอบอวลคล้ายกลิ่นขนมปังอบของแม่ ทว่าหอมหวานยิ่งกว่า และดูน่าอร่อยยิ่งกว่า เราทั้งสองจึงเดินตามกลิ่นนั้นไป กลิ่นชัดขึ้นทุกที ชัดขึ้นเรื่อย ๆ

แล้วบ้านขนมหวานสีสันสดใสก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าฉัน



“เอ่อ...ไม่ยักรู้ว่าเขามีร้านขายขนมอยู่แล้ว” ฉันพูดขึ้น



“แล้วเราจะขายขนมปังของเราได้หรือพี่” น้องถามพลางเขย่าแขนฉัน แต่ฉันไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแต่มองสำรวจไปรอบ ๆ มันเป็นบ้านขนมหวานที่มีชีวิตชีวาก็จริง แต่ฉันกลับไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดอื่นเลยนอกจากฉันกับน้อง




ก๊อก ก๊อก




ฉันเคาะประตูหน้าบ้านสีชมพูสดใส มันประดับประดาไปด้วยลูกกวาดนานาชนิดที่เรียงเป็นคำว่า ทางเข้า ยินดีต้อนรับ ไร้ซึ่งเสียงใดตอบกลับมา ทว่าประตูบานนี้กลับเปิดออกช้า ๆ



“มันเปิดเองหรือพี่”


“อาจใช่ เข้ามาเถอะ”



ประตูปิดลงแล้ว ภายในบ้านนั้นเงียบสงัด ประดับประดาไปด้วยเครื่องตกแต่งบ้านหลากสีสันรูปทรงขนมหวานนานาชนิด ไม่ว่าจะโดนัต ช็อกโกแล็ตแท่ง มาการอง หรือวาฟเฟิล ตรงกลางโถงทางเดินมีบันไดทอดยาวขึ้นไปสู่ชั้นสอง แต่แล้วกลิ่นหอมหวานของขนมปังกลับแปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นคาวของอะไรบางอย่างที่ฉันภาวนาไม่ให้มันเป็นจริง ฉันหยุดเดินเพราะเริ่มรู้สึกถึงลางไม่ดีบางอย่างที่เริ่มคลืบคลานเข้ามาใกล้ น้องสาวของฉันยังคงไม่รู้เรื่องราวอะไร เธอมองสำรวจบ้านสีสันสดใสไปรอบ ๆ อย่างตื่นตา



“พี่ว่าเราออกไปจากที่นี่เถอะ มันคงไม่มีคนอาศัยอยู่” ฉันหันหลังกลับเตรียมจะคว้ากลอนประตูเปิดออก ทว่าฉันเปิดไม่ได้ ฉันดึงแล้วดึงอีก หมุนแล้วหมุนอีก มันติดอะไรบางอย่างราวมีใครลงกลอนไว้ ฉันมองสำรวจบานประตู มันยังเป็นสีชมพูสดใสเช่นเคย ทว่าสิ่งที่เปลี่ยนไปคือลูกกวาดหลากสีที่เรียงบนบานประตูนั้นเปลี่ยนเป็นคำว่า ห้ามออก



“เดี๋ยว นี่ไม่ตลกนะ” ฉันทั้งเคาะ ทั้งทุบ ทั้งตีประตู ทว่ายังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เรื่องบ้าอะไรเนี่ย!”


“เอ่อ...พี่ นั่นอะไร” น้องสะกิดเรียกให้ฉันหันกลับไป บางอย่างกำลังลอยตรงมาทางนี้...ช่อลูกโป่งจำนวนหนึ่งที่มีอะไรสักอย่างห้อยอยู่ข้างล่าง มันลอยมาตรงหน้าฉันแล้วค่อย ๆ ร่วงลงพื้น


“มันคือ...คุกกี้เสี่ยงทาย” ฉันหยิบขนมลักษณะคุ้นตาขึ้นมาสำรวจดู มันบรรจุไว้ในห่อพลาสติกใส ฉันจึงแกะมันออกมา คุกกี้ชิ้นพอดีปากเคลือบช็อกโกแลตช่างดูน่ากิน


“หนูขอกินมันได้ไหม” น้องถาม


“เดี๋ยวพี่ให้กินนะ” ฉันตอบ “แต่คุ้กกี้เสี่ยงทายเนี่ย ข้างในมันมักจะมีอะไรซ่อนอยู่ใช่ไหม” เมื่อพูดจบฉันจึงแบะคุกกี้ชิ้นนี้ออกเป็นสองส่วนทันที และใช่ ชิ้นส่วนยาว ๆ ของกระดาษเริ่มคลี่ออกมา ฉันหยิบมันออกจากคุกกี้ก่อนส่งส่วนที่กินได้ให้น้องสาว


“ค่อย ๆ เคี้ยวล่ะ” เมื่อน้องรับมันเข้าปากไปแล้วฉันจึงหันมาสนใจชิ้นกระดาษตรงหน้า มันพับเป็นชั้นถึงสามทบ เมื่อคลี่ออกฉันจึงรีบอ่านข้อความทันที

ขอต้อนรับสู่บ้านขนมหวาน อลหม่านหลากสีสันน่าสุขสม หากผู้ใดอย่างกรายมาพาได้ชม แลรสขมอาจกำเนิดเกิดแก่ใจ หากเผลอไผลกลายกล้ำมิอาจหวน รสรัญจวนแปรผันพลันมัวหมอง อุปสรรคอันตรายหมายมาดมอง หวังจักปองชีวาพาพ้นไกล เพียงต้องฝ่าหมอกม่านด่านทดสอบ อันรายล้อมด้วยความหวังดังที่หมาย หากพ้นผ่านปมปัญหาสิ้นมลาย กลอนจักคลายประจักษ์แจ้งสู่แสงทอง


วินาทีนั้น ฉันรู้ตัวได้ในทันทีว่าการตัดสินใจที่พลาดที่สุดในชีวิต คือการเข้ามาในป่า







เริ่มเกม

ฉันไม่แน่ใจคำว่าอุปสรรคอันตรายเท่าไรนัก หากคิดในแง่ดีก็คงเป็นเพียงเกมไขปริศนาหาทางออกทั่วไปที่คงใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็จะหาประตูทางออกเจอ ทว่ากลิ่นคาวสนิมแสบจมูกที่ยังคงลอยมาให้ได้กลิ่นนั่นกวนใจฉันไม่ใช่น้อย ลางสังหรณ์ของฉันร้องเตือนว่านี่อาจไม่ใช่เกมไขปริศนาธรรมดา


ฉันเปิดกระเป๋าสะพายแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ออกมา ย่อตัวลงในระดับเดียวกันกับน้องสาวก่อนจะจับมันผูกเข้ากับใบหน้าเธอให้ปิดคลุมตั้งแต่ส่วนจมูกลงมาถึงปลายคาง “ใส่ไว้นะ จะได้ไม่มีใครเห็นหน้าเธอ” อันที่จริงเพื่อไม่ให้เธอได้กลิ่นน่าสะอิดสะเอียนนี่ต่างหาก


สุดท้ายฉันจึงตัดสินใจทิ้งตะกร้าขนมปังไว้ตรงประตูทางเข้า ฉันก้มลงผูกปมเชือกรองเท้าให้แน่น หยิบมีดพกทั้งสองเล่มออกมาแล้วส่งให้น้องสาวเช่นเคย “ฟังพี่นะ เธอแค่เดินตามพี่มา จับมือพี่ไว้ มองซ้ายมองขวาให้ดี ถ้ารู้ตัวว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นให้ใช้มีดนี่ได้เลย ตอนนี้เราอาจกำลังตกอยู่ในอันตรายสุด ๆ อย่าลังเลเด็ดขาด เข้าใจไหม”


“...” เธอไม่ตอบ ทว่าพยักหน้ารับแทน


“ไม่ต้องกลัวนะ พี่จะพาเธอออกไปจากที่นี่เอง”


น้องสาวตัวน้อยโผเข้ากอดฉันแน่น ฉันลูบหัวเพื่อปลอบประโลมเธอ เธอฉลาดและดูเข้าใจสถานการณ์ได้ง่ายดายกว่าที่ฉันคิด


ฉันเดินนำน้องที่เกาะชายเสื้อฉันขึ้นไปตามบันไดที่ตกแต่งด้วยลายลูกกวาดไม้เท้า เมื่อถึงขั้นสุดท้ายก็มีทางแยกระหว่างซ้ายกับขวา ฉันตัดสินใจเดินไปสำรวจทางซ้ายก่อน กลิ่นหอมของขนมอบคละคลุ้งไปกับกลิ่นสนิมฉุนกึก ฉันเบ้หน้าอย่างอดไม่ได้


“...”


สุดทางเดินเป็นประตูสีดำสนิทที่โชยกลิ่นชะเอมออกมา หากให้เดานี่คงเป็นประตูขนมชะเอมแน่นอน แปลว่ากินได้สินะ แต่ฉันคงไม่บ้ากินประตูหรอก


“พี่จะเปิดประตูเข้าไป เกาะไว้ล่ะ” เมื่อได้ยินเสียงตอบรับในลำคอจากน้องฉันจึงจับลูกบิดและผลักเข้าไปช้า ๆ กลิ่นสนิมน่าสะอิดสะเอียนลอยตีจมูกทันที ฉันรีบปิดประตูแล้วหันกลับมาหาน้อง


“ข้างในนั่นคงมีอะไรที่น่ากลัวมากสำหรับเธออยู่ หลับตาให้แน่นนะ ถ้าพี่อนุญาตเธอค่อยลืมตา” ฉันบอกเพื่อป้องกันไม่ได้เด็กน้อยขวัญผวา ฉันเปิดประตูเข้าไปอีกครั้ง ผนังขาวสว่างเป็นสิ่งแรกที่สะดุดตา ทว่าสิ่งต่อมาคือคราบเลือดที่กระเซ็นอยู่ตามผนังขาวนั่น กะไว้ไม่มีผิด นี่มันบ้านนรกชัด ๆ


ในห้องกว้างนี้ยังคงรักษาความเป็นบ้านขนมได้ดี ทั้งห้องตกแต่งไปด้วยเก้าอี้นวมรูปคัปเค้ก นาฬิกาเรือนใหญ่บนผนังมีตุ๊กตาขนมขิงสองตัวบนเข็มสั้นและเข็มยาว พรมบนพื้นฟูขึ้นเป็นทรงคล้ายวิปปิ้งครีม ริมผนังทางฝั่งขวามีกระจกบานใหญ่ตกแต่งด้วยเกล็ดน้ำตาลหลากสี กลางห้องมีเบาะนั่งทรงกลมคล้ายช็อกบอล ทว่ามันกลับมีร่างของใครสักคนนอนคว่ำพาดทับอยู่ หญิงสาวผู้นี้สวมใส่รองเท้าแก้วสีใสหุ้มด้วยเถาวัลย์ถักดูแน่นหนา (นี่คงเป็นเกราะป้องกันไม่ให้รองเท้าแก้วแตก) ส้นสูงแหลมเปี๊ยบทั้งสองชี้มาทางฉัน เธอคงหมดลมไปแล้วเพราะนอนนิ่งไม่ไหวติง เสื้อผ้าชุ่มเลือดนี่ก็ด้วย คราบเลือดแห้งกรังบนผนังคงเป็นของเธอ




ติ๊ด ตี๊ดดดดดด




“เฮ้ เดี๋ยวสิ” ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็มีเสียงร้องเตือนของอะไรบางอย่างเสียก่อน ฉันมองขึ้นไปบนผนัง นาฬิกาเรือนนั้นกลับเดินทวนเข็มอย่างที่ไม่ควรจะเป็น มันกำลังนับถอยหลัง


“ลืมตาก่อน พี่ว่าเราถูกขังอยู่ในห้องนี้ เราต้องหาทางออกก่อนเวลาจะหมด” เธอมีสีหน้าตื่นตระหนกแต่ก็พยักหน้ารัว เราสองคนแยกกันหาทางออก แต่โชคร้ายที่ทั้งประตูหน้าต่างกลับลงกลอนและปิดสนิท และทั้งห้องก็ไม่มีอะไรที่เป็นทางออกเลย ขณะนี้ความกลัวเริ่มกัดกินใจฉัน


“เราจะเป็นยังไงถ้าออกไปไม่ได้” น้องถามแล้ววิ่งเข้ามาซุกขาฉัน เธอเองก็คงกลัวไม่ต่างกัน


“เรา...คงจะกลายเป็นแบบเธอคนนั้น” ฉันชี้ไปทางหญิงสาวผู้อาภัพให้น้องสาวเห็น เราสองคนยืนกอดกันกลมและมองตัวเองในภาพสะท้อนของกระจกเงา ในความจริงฉันไม่ได้เป็นพี่ที่กล้าหาญแบบฮันเซล และน้องสาวของฉันก็ไม่ได้เข้มแข็งอย่างเกรเทล แต่ฉันจะทำทุกทางเพื่อให้เราสองคนปลอดภัยจากบ้านนรกนี่




ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก



เสียงเข็มนาฬิกาเดินยังคงกดดันอย่างต่อเนื่อง จวนจะหมดเวลาแล้ว หัวใจของฉันเต้นระรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ฉันมองภาพสะท้อนตัวเองในกระจกเงาอีกครั้ง ในหัวนึกโทษความโง่เง่าของตัวเองที่พาน้องมาเจออันตราย



แต่เดี๋ยวก่อนนะ



“กระจกนั่น...” ฉันผละออกจากน้องสาวแล้วเดินไปหน้ากระจก เอาสองมือขึ้นแนบแล้วใช้ปลายเล็บเคาะลงเบา ๆ “เสียงมันก้องนี่นา”


“พี่ทำอะไร...”


“มันคือทางออก! ต้องใช่แน่ เราต้องพังกระจกนี่เสีย” ฉันพูดแล้วเดินไปรอบห้องอีกครั้งเพื่อหาอะไรสักอย่างที่จะพอใช้ทุบกระจก ลำพังของที่มีติดกระเป๋าสะพายคงไม่แข็งแรงพอจะทำลายกระจกนี้ได้


ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก



เวลายังคงนับถอยหลัง แล้วสายตาของฉันก็พลันเห็นอะไรบางอย่างที่เป็นจุดสนใจของฉันตั้งแต่ทีแรก รองเท้าแก้วหุ้มเถาวัลย์ ฉันไม่รอช้าตรงปรี่ไปหาร่างไร้ลมหายใจของหญิงสาวผู้นี้ทันที สองมือเอื้อมถอดรองเท้าทั้งสองข้างออกมาอย่างรีบร้อน ฉันส่งข้างหนึ่งให้น้องถือไว้ มืออีกข้างจับรองเท้าไว้มั่น หันปลายส้นที่ถักล้อมด้วยเถาวัลย์ไปทางกระจก “ถอยออกไปก่อนนะ ระวังเศษกระจกด้วย”


เพล้ง เพล้ง เพล้ง


บานกระจกขนาดใหญ่แตกร่วงลงสู่พื้นตามแรงที่ฉันทุบ เป็นดังที่ฉันคาดคือเถาวัลย์ที่ถักอยู่ช่วยรับแรงกระแทกได้ดี รองเท้าคู่สวยนี้จึงไม่แตกไปเสียก่อน และเมื่อกระจกแตก ภาพด้านหลังที่ปรากฏก็ทำให้ความหวังที่เพิ่งดับมอดไปจุดติดขึ้นมาได้




เพราะมันทะลุไปยังอีกห้องหนึ่ง




ฉันระดมทุบกระทั่งมันแตกจนมีขนาดใหญ่พอสมควรแล้ว ฉันอุ้มน้องสาวขึ้น แล้วเอื้อมส่งเธอลอดผ่านช่องว่างระหว่างกระจกไป ฉันเองก็ตามเข้าไปด้วยเช่นกัน



ติ๊ดดดดดดดดดดดดดด



สิ้นเสียงนั้น ทุกอย่างพลันนิ่งสงัด หัวใจฉันเต้นระส่ำราววิ่งขึ้นลงเนินเขาหนึ่งพันรอบ ฉันมองกลับไปยังหญิงสาวผู้โชคร้ายคนนั้น เธอคงคิดไม่ทันเกมบ้า ๆ ของบ้านนรกนี่ ฉันขอบคุณเธอในใจสำหรับรองเท้าของเธอที่ช่วยชีวิตเราทั้งสองไว้ ขณะนั้นน้องโผกอดฉันแน่น เธอเก่งมากที่ไม่ร้องไห้สักแอะ และเราก็โชคดีที่ผ่านห้องแรกมาได้อย่างปลอดภัย “เก็บรองเท้าไว้คนละข้างดีกว่า เผื่อมันจะใช้ป้องกันตัวได้”



ห้องที่สองที่เพิ่งเข้ามาตกแต่งด้วยสีอุ่น มีกลิ่นหอมของขนมปังอบที่ฉันและน้องคุ้นเคยดีเพราะอยู่กับมันมาทั้งชีวิต น้องเกาะชายเสื้อฉันแน่น “หนูอยากกลับบ้าน”


ฉันลูบหัวทุย ๆ ของน้องแผ่วเบา “เราจะกลับบ้านอย่างปลอดภัย”


เราเดินมาจนถึงอีกฝั่งของห้อง ประตูห้องลงกลอนแน่นหนาเช่นเคย ส่วนกลางห้องปรากฏโต๊ะไม้ยาวหนึ่งตัว บนโต๊ะนั้นมีบางอย่างวางเรียงกันอยู่ ฉันชะโงกหน้าเข้าไปใกล้เพื่อมองดูจึงพบว่าเป็นขนมทั้งหมดสี่จาน


จานแรกเต็มไปด้วยลูกกวาดหลากสีสัน จานที่สองคือขนมปังหน้าธัญพืช จานที่สามเป็นผลแอปเปิลเคลือบน้ำตาล และจานที่สี่เป็นไอศกรีมรสวานิลลา


“พี่...มีคนนอนอยู่ตรงนี้” น้องสะกิดเรียกแล้วชี้ไปยังร่างของเด็กสาวคนหนึ่งที่นอนหลับไม่ได้สติอยู่ข้างโต๊ะไม้ ฉันย่อตัวลงแล้วสำรวจทั้งตัวเธอ ผิวเย็นเฉียบและร่างนิ่งไร้ลมหายใจยืนยันได้ทันทีว่าเธอจากไปแล้วไม่ต่างอะไรจากหญิงสาวในห้องแรก


“เธออาจจะแค่หลับไป” ฉันอธิบายให้น้องฟังแค่นั้น พลันสายตาเหลือไปเห็นอะไรบางอย่างตกอยู่ตรงปลายแขนเธอ มันคือผลแอปเปิลเคลือบน้ำตาลที่มีรอยแหว่งไปส่วนหนึ่ง เธอคงจะกินมันเข้าไปสินะ ฉันช้อนร่างน้องขึ้นมาให้พอดีกับความสูงโต๊ะแล้วพาเธอไล่ดูทีละจาน


“พี่ว่าเราคงต้องเลือกกินอะไรสักอย่างจากทั้งหมดนี้”


“...”


“เอ่อ...ยกเว้นแอปเปิลก็แล้วกัน”


ไม่ต้องคิดให้เสียเวลานาน ฉันกับน้องต่างเลือกหยิบขนมในจานที่สองนั่นคือขนมปังหน้าธัญพืช เราหัวเราะให้กันเบา ๆ เพราะรู้ดีถึงเหตุผล


กลิ่นแบบนี้ บรรยากาศแบบนี้ ต้องขนมปังอบเท่านั้น


เมื่อเราเคี้ยวจนหมดก้อนและกลืนคำสุดท้ายลงคอ ประตูห้องนี้ก็เปิดออก ฉันกอดน้องด้วยความโล่งใจที่เราผ่านห้องนี้ได้อย่างปลอดภัย แต่ฉันเสียใจกับเด็กสาวคนนั้นเหลือเกิน ทั้งที่อยู่ในห้องที่ตกแต่งด้วยขนมปังอบ แต่เธอดันเลือกให้แอปเปิลเคลือบน้ำตาลเป็นความอร่อยครั้งสุดท้ายในชีวิต




เมื่อพ้นประตูนี้ไปเราทั้งสองก็เข้าสู่โถงทางเดินที่ทอดไปยังที่ใดสักที่ รอบข้างยังคงตกแต่งอย่างสดใสด้วยขนมหวานนานาชนิด กลิ่นหวานอบอวลของน้ำตาลทำฉันเวียนหัวอยู่ไม่น้อย


สุดทางเดินเป็นประตูสีรุ้งที่มีลูกบิดเป็นทรงโดนัต บนบานประตูมีเจลลี่เส้นยาวร้อยเรียงเป็นคำว่า bon appetite ขนลุกดีนะ หมายถึงให้บ้านนรกนี่เขมือบฉันอย่างเอร็ดอร่อยหรืออย่างไรกัน



“ได้เวลาจับมีดแล้วล่ะ” ฉันพูดพลางส่งมีดพกให้น้องอีกครั้ง




ประตูเปิดออก




ในห้องนี้เหล่าเครื่องตกแต่งกลับเป็นสีขาวสะอาดสะอ้านเหมือนกันทุกชิ้น โต๊ะอาหารทรงกลมที่ล้อมรอบไม่ได้ตกแต่งด้วยขนมหลากสีดังห้องที่ผ่าน ๆ มา ทว่ากลับมีเพียงผลสตรอว์เบอร์รีสีแดงสดในถาดที่ตั้งไว้กลางโต๊ะ มองดูคล้ายสตรอว์เบอร์รีชอร์ตเค้กที่ฉันชอบกินอย่างไรอย่างนั้น


ฉันก้าวเท้าเข้าไปใกล้โดยที่ยังไม่ลดอาวุธลง บนโต๊ะไม่มีอะไรเลยนอกจากถาดผลไม้นั่น แล้วจะให้ฉันทำอะไรล่ะ


กึก กึก


ขณะนั้นเองฉันได้ยินฝีเท้าของบุคคลที่สามมาจากทางหนึ่งของห้อง ทั้งฉันและน้องต่างมองไปทางต้นเสียงนั่น แล้วเงาร่างที่คุ้นเคยของใครสักคนในความทรงจำก็โผล่ออกมาจากมุมมืด



คุณลุงพ่อค้าไม้ที่ชอบกินขนมปังหน้าลูกเกด



“โธ่ ลุงนี่เอง ทำพวกหนูตกใจหมดเลย” ฉันผ่อนคลายน้ำเสียงและลดมีดลงเมื่อเห็นใบหน้าของคนคุ้นเคย คุณลุงรีบเดินเข้ามาหาด้วยท่าทางใจดีดังเช่นทุกเช้าที่เราเจอกัน


“ลุงตามหาพวกหนูตั้งนาน เป็นอะไรกันหรือเปล่าหนู” ลุงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงโอบอ้อมอารี แวบหนึ่งที่ฉันเริ่มอบอุ่นใจขึ้นมา “พวกหนูไม่เป็นไรค่ะ คุณลุง–” แต่ว่า เดี๋ยวนะ


แล้วลุงเข้ามาในห้องนี้ได้อย่างไรในเมื่อประตูห้องต้องเชื่อมจากห้องก่อน ๆ ที่ฉันกับน้องผ่านมา



หากไม่ใช่เพราะเขาอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรกแล้ว



“ลุงเข้ามาที่นี่ได้อย่างไรคะ” ฉันตั้งท่าจับมีดขึ้นมาอีกครั้งหลังลดมือลง จ่อปลายมีดไปยังทางลุงพ่อค้าไม้ผู้ไม่น่าไว้ใจอีกต่อไป


“...”


“ลุงหลอกให้พวกเรามาที่นี่ใช่ไหม” มืออีกข้างที่ว่างของฉันกางออกแล้วกันน้องสาวไว้ข้างหลัง เราถอยหลังกลับไป ส่วนผู้ชายวัยกลางคนตรงหน้าก็ขยับเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ฉับพลันแววตาอารีที่เคยมีกลับแปรเปลี่ยนไปราวกระหายอะไรสักอย่าง



“...”



ฉันหยุดถอยเพราะดูเหมือนเราจะถอยกลับไปจนกำแพงเข้าเสียแล้ว ในสมองของฉันตอนนี้คำนวณความเป็นไปได้ของสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นร้อยแปดพันอย่าง



“ลุงหลอกพวกเรามาที่นี่เหมือนที่หลอกเด็กสาวสองคนในห้องนั้น และอาจจะมีอีกกี่สิบคนก็ไม่รู้ ลุงทำไปทำไมกัน”



ไม่ทันพูดจนจบประโยคดี ร่างใหญ่ของผู้ชายใจโหดคนนี้ก็ตรงปรี่เข้ามาหาฉัน ฉันใช้แรงที่มีในฮึดเดียวผลักร่างน้องสาวให้ออกไปไกล ส่วนตัวฉันเสียหลักล้มลงนอนบนพื้น ร่างใหญ่ของพ่อค้าไม้โน้มลงมาทับฉันไว้ จนแทบหายใจไม่ออก ฉันพยายามขัดขืน แต่สู้แรงมันไม่ได้เลยสักนิด มีดสั้นที่มีกระเด็นไปไกลแล้ว ฉันได้ยินเสียงร้องและสะอื้นไห้จากน้องสาว



ฉันดิ้นสู้ ทั้งกรีดร้อง ใช้เรี่ยวแรงที่มีขัดขืนแรงจากคนชั่วตรงหน้า มือสกปรกของมันกอบกุมเข้าที่ลำคอของฉัน แรงบีบจากมือใหญ่ทำฉันจะหมดแรงอยู่รอมร่อ แล้วทันใดนั้นฉันก็นึกบางอย่างขึ้นได้



“เพราะเด็กผู้หญิงก็เหมือนขนม ทั้งหอม ทั้งหวาน เสพติดโดยง่าย หากได้ลิ้มรสแล้วก็ยากจะถอนตัว” มันตอบคำถามที่ฉันถามไปตั้งแต่แรก เหตุผลไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์สิ้นดี น้ำเสียงดุดันในลำคอฟังดูเหมือนผู้ล่าใจโหดไม่มีผิด



“ถ้างั้นก็เชิญลุงไปเสพสุขความหวานนี้ในนรกเถิดค่ะ”



ฉึก




“เพราะมันจะไม่มีขนมปังหน้าลูกเกดสำหรับลุงอีกต่อไปแล้ว”



ฉันคว้าเอารองเท้าแก้วที่อยู่ในกระเป๋าสะพายขึ้นมาแล้วจ้วงแทงส่วนส้นแหลมไปยังลำคอของชายใจอำมหิตตรงหน้า ทันทีที่มันเสียการควบคุมฉันจึงใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีจับมันพลิกตัวคว่ำ ฉันขึ้นนั่งทับร่างใหญ่และไม่รอให้เสียเวลา ส้นแหลมของรองเท้าแก้วยังคงทำหน้าที่ของมันต่อไป แม้หยดเลือดจะเปรอะเปื้อนใบหน้าฉันก็ไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว



รองเท้าแก้วส้นแหลมปรี๊ดได้กลายมาเป็นอาวุธชิ้นแรกที่ฉันใช้สังหารมนุษย์ด้วยกัน โลหิตสาดกระเซ็นโดนเสื้อคลุมสีขาวสะอาดของน้องที่ยืนอยู่ไม่ไกลจนมันชุ่มไปด้วยสีแดงฉานไปทั่วผืน ฉันดีใจเหลือเกินที่เธอได้เสื้อคลุมตัวใหม่ เธอตัวสั่นกึกหลับตาปี๋ ส่วนฉันยังคงกระหน่ำแทงต่อไปให้สาสมกับฝันร้ายที่ฉันและน้องได้พบเจอในบ้านนรกหลังนี้




“กินให้อร่อยนะคะ คุณลุง”















happy halloween day :)


Comentarios


bottom of page